27 ธ.ค. 2553

24 Hrs in Nagoya



ไปถึงนาโกย่าเช้าวันที่ 23 ธ.ค. เป็นวันหยุดประจำชาติตรงกับวันเกิดของจักรพรรดิ (Tenno no Tanjobi) มีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงก่อนจะออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินอยู่ใกล้ๆแถวโรงแรม เพราะตามปกติคนจะออกมาเดินถนนกันเยอะมากในวันหยุด ประกอบกับเป็นวันสุดท้ายก่อน Christmas Eve ศุนย์การค้าคงจะมีคนมาซื้อของกันมาก แต่ลูกศิษย์ ที่มาด้วยพึ่งจะมาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ยังใหม่เอี่ยม จึงจำเป็นต้องพาตระเวนไปดูที่อยู่ ที่กิน ตามหน้าที่ครูที่ดี


ออกจากโรงแรมเวลา1330 เพื่อไปกินกลางวันที่ร้าน Hongotei Ramen ร้านนี้เป็นร้านท้องถิ่นที่คนนาโกย่ารู้จักดี และอยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก แต่แปลกที่ลูกเรือ TG ไม่รู้จักครับ อยู่เลยร้าน Bic Camera ไปนิดเดียว หลังตึก Meitetsu New Grand Hotel


เลยมุมตึกมาเล็กน้อยฝั่งเดียวกัน จะเห็นป้ายร้านชัดเจน มีภาษาอังกฤษอยู่ในโลโก้แดงกลางป้าย เป็นร้านคูหาเดียว สองชั้น น้ำซุปเป็นน้ำต้มกระดูกหมู (Tonkotsu) เข้มข้นสะใจ แต่ก็มีน้ำซุปแบบโชยุและมิโสะให้เลือกด้วย ทีเด็ดของร้านคือหมูที่ใส่ในจาน ชิ้นใหญ่และหนากว่าหนึ่งซ.ม.

(คลิกที่ภาพเพื่อขยายขนาด)
Ramenในเมนูบนผนังจัดอันดับตามความเข้มข้น (kotteri) อันดับหนึ่งห้าดาว คือ Paitan Ramen มุมซ้ายบนในรูปแดง คำว่า Paitan มาจากภาษาจีน แปลว่าน้ำซุปสีขาว ซึ่งส่วนผสมทั่วไปเหมือน Tonkotsu แต่ใส่กระดูกไก่ลงไปต้มด้วย จำนวนกระดูกไก่ที่ไปแทนกระดูกหมูจะทำให้น้ำซุปมีไขมันลดลง แต่จำนวนไขกระดูกหรือCollagen ยังคงเดิม และออกรสหวานกว่า, ตรงกลางแถวบนเป็นโชยุราเมน, ด้านขวาแถวบนเป็นน้ำซุปปรุงด้วยกระเทียมบด, รูปซ้ายแถวล่าง เป็นน้ำซุปมิโสะ, ถ้าชอบเผ็ดก็ตรงกลางแถวล่าง, รูปขวาแถวล่างเป็นโซบะในน้ำซุปโชยุ ซึ่งจางที่สุด อยากลองรสใดก็จำตัวอักษรไปกดตู้ได้เลยครับ ราคาเท่ากันหมด

ร้านนี้มีข้าวเปล่าและกิมมึจิไว้ให้ตักเอง โดยกดคูปองจากตู้ไปก่อน ข้าวราคา 180, 150, 120 ตามขนาด กิมมึจิราคา 150 yen (ผักดองแบบเกาหลี ภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า "กิมมึจิ", ถ้าออกเสียงว่า "กิมจิ" จะแปลว่า "เสียว" ออกเสียงให้ถูกครับ เดี๋ยวคนรับออร์เดอร์จะเข้าใจผิดว่าอยากชวนเขาไปเล่นเสียว)


เข้าคิวไม่นานนักก็ได้ที่นั่งชั้นบนของร้าน ห้านาทีต่อมา Paitan Ramen ก็ยกมาวางตรงหน้า โปรดสังเกตุความหนาของชิ้นเนื้อหมูเทียบต่อเส้นบะหมี่ น้ำซุปแบบ Paitan มีน้ำมันลอยหน้าน้อยมาก ซึ่งตามตำราบะหมี่เขาบอกว่า จะทำให้เสียความร้อนเร็วเกินไปจนเย็นเสียก่อนจะหมดชาม ก็จริงอย่างตำราว่า ยังไม่ถึงครึ่งชาม น้ำซุปก็ลดความร้อนไปเกือบครึ่ง ไม่เหมือนน้ำซุปแบบTonkotsu ซึ่งมีน้ำมันลอยหน้ามากกว่า แต่ก็รักษาความร้อนได้จนกระทั่งกินหมดชาม

อิ่มได้ที่แล้วก็เดินกลับมาลงทางเดินใต้ดินตรงหน้าร้าน Bic Camera พาลูกศิษย์มาเดินดูร้านอาหารอื่นๆ ตรงซอยด้านข้างบันไดเลื่อน Esca

ร้านSugakiya อาหารญี่ปุ่นทั่วไป



ร้านปลาไหลรสดั้งเดิม ย่างปลาไหลกลิ่นหอมไปทั้งร้าน


เดินดูร้านอาหารตอนนี้ไม่เกิดประโยชน์เพราะยังอิ่มจนพุงปลิ้น ไปเดินเล่นสักสองสามชั่วโมงรอเวลาอาหารเย็นดีกว่า ว่าแล้วก็ขึ้นรถไฟไปลงสถานี Osu Kanon

ถ่ายรูปเล่นแล้วเดินออกทางด้านข้าง ไปเยี่ยมร้านทาโกยากิ กับโดยากิ เจ้าอร่อย







อากาศเย็นประมาณ 10 deg C ทาโกยากิกับโดยากิร้อนๆ ทำขายกันแทบไม่ทัน ต่อจากนั้นก็เดินเยื้องซ้ายไปเข้าซอยตรงร้าน Komeya แล้วเดินดูตลาดไปเรื่อยๆ พักดื่มกาแฟกันที่ร้าน Matsuya

ร้านMatsuya มีอุปกรณ์เครื่องบดเครื่องชงกาแฟมากมาย ทัั้งของญี่ปุ่นและประเทศต่างๆ มีเมล็ดกาแฟยอดนิยมทุกชนิด คั่วและบดผสม (Blend) ให้แก่ลูกค้าตามสั่ง ถ้ามองจากด้านนอกจะไม่รู้เลยว่า ภายในร้านมีบริเวณสำหรับนั่งดื่มกาแฟอยู่ด้านหลัง มีSmoking area ด้วยครับ



กาแฟ Blue Mountain Blended และ Custard with Whipped Cream

นั่งพักจิบกาแฟกันจนฟ้ามืดแล้ว ออกจากร้านขึ้นรถไฟที่สถานี Kamimaezu ไป Sakae เพื่อไปซื้อปลาดิบลดราคาที่ Mitsukoshi

 คนในสถานีรถไฟไม่มากนัก เพราะช่วงนี้เขาจะอยู่ในศูนย์การค้ากัน

 ขึ้นจากรถใต้ดินตรง Bus Station เขาสร้างลานสเก๊ตน้ำแข็งเปิดเพลงเบาๆ นั่งดูกันเพลินไปเลย


ซุปเปอร์มาร์เกตที่ขายชุดอาหาร Sashimi / Sushi มีหลายแห่ง แต่ที่ชั้นใต้ดินของ Mitsukoshi จะสดและมีคุณภาพที่สุด ราคาก็สูงตามไปด้วย เพราะชำแหละสดทุกวัน ไม่ขายอาหารค้างจากวันก่อน ประมาณห้าโมงเย็น เขาจะเริ่มลดราคาเพื่อขายของที่เหลือให้หมด โดยมัดของแพงของถูกรวมกัน ขายในราคา สองแพคหรือ สามแพค ต่อ 1000 yen ถ้าเป็นของราคาสูงอย่างรูปข้างบนนี้ มี Toro, Maguro, Tai, Uni, Ebi, Ika ราคา 2500 Yen ก็จะลดเหลือ 2000 Yen อย่าลืมขอโชยุแบบซองเล็กติดมาด้วย เขามีแถมให้ครับ

ซื้อปลาดิบและอาหารสำเร็จรูปที่ Mitsukoshi เสร็จแล้วก็วางแผนไปกินอาหารเย็นกันที่ร้าน Yabaton ผมจำได้ว่า มีสาขาอยู่แถวSakae หนึ่งร้าน แต่ไม่แน่ใจว่าอยู่ตึกไหน ถามคนแถวนั้นเขาบอกว่ามีอยู่ที่ตึก La Chic  ถัดจากMitsukoshi ไปทางด้านใต้เล็กน้อย ก็เดินดูไฟประดับตามถนนกันมาเรื่อยๆ เพลินดีครับ อุณหภูมิประมาณ 8 องศา แต่ไม่มีลม


 และแล้วก็มาถึงร้าน Yabaton หรือที่ลูกเรือการบินไทยเรียกว่า หมูโสร่ง ที่ชั้นเจ็ดของตึก La Chic

ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ตั้งชื่อหมูนุ่งโสร่ง ความจริงทางร้านเขาแต่งต้วให้หมูเป็นนักมวยปล้ำซูโม่ คาดผ้าประดับยศชั้น Yokozuna ซึ่งเป็นผ้าสี่เหลี่ยม คาดเฉพาะด้านหน้า ทับผ้าเตี่ยว ใช้สำหรับร่ายรำเปิดพิธีแข่งขัน (ดูภาพจากด้านท้ายเมนูอาหาร)


ท้ายเมนูบอกตำแหน่งสาขาต่างๆของ yabaton


สั่งอาหารชุดเดียวกันทั้งสามคน Waraji Tonkatsu set ราคา 1680 yen เพราะมีข้าว ผัก และ ซุป ครบชุด




มารู้ตัวว่าคิดผิดก็เมื่ออาหารยกมาถึง ชุดอาหารใหญ่มากครับ จะเห็นว่าชามใหญ่กว่าหน้าอกของน้องเสื้อชมพูในรูปซึ่งสูง 175 cm แต่ก็กินกันเกือบหมดทั้งสามคน เพราะเขาทอดหมูได้ดีจริงๆ กรอบนอกนุ่มใน เคี้ยวสนุก น้ำซ้อสมิโสะที่ราดมา ออกรสหวานนำ เค็มกำลังดี หอมกลิ่นเต้าเจี้ยวสด กระหล่ำซอยละเอียดตัดความเลี่ยนได้ดีมาก บนโต๊ะมี พริกป่นและมัสตาร์ดไว้สำหรับคนชอบเผ็ด อาหารชุดนี้คุ้มค่ามากครับ เป็นอาหารประจำถิ่นของนาโกย่า (ที่อื่นๆเขาราดหน้าด้วย Tonkatsu Sauce ซึ่งมี Worcestershire เป็นส่วนผสมหลัก) กว่าจะกินกันเสร็จก็ทุ่มครึ่ง  นั่งรถใต้ดินกลับมาถึง Nagoya Station เกือบสองทุ่ม เดินมากจนปวดขาไปตามๆกัน แวะถ่ายภาพไฟเทศกาลกันอีกเล็กน้อย ก่อนกลับเข้าโรงแรม



รุ่งขึ้นออกจากโรงแรมตั้งแต่สองโมงเช้า ไปถึงสนามบินก็แวะกินราเมนเป็นอาหารเช้า ที่ร้านชั้นบนของDeparture floor




ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วครับ เดินกันจนปวดขาไปหมด ทัวร์กินลูกเดียวอย่างนี้มีบ่อยๆไม่ได้ครับ น้ำหนักกำลังจะทะลุเป้า น่าสงสารมั้ยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น